"ความจริงของการทรงสร้างผ่านวิทยาศาสตร์และพระคัมภีร์"

Sermon  •  Submitted   •  50:41
0 ratings
· 166 views
Files
Notes
Transcript
Sermon Tone Analysis
A
D
F
J
S
Emotion
A
C
T
Language
O
C
E
A
E
Social
View more →
คำเทศนา / ปฐมกาล 1:1-2, 26-28; สดุดี 8:1-9 /
“ความจริงของพระเจ้าที่เปิดเผยผ่านการทรงสร้าง”
คริสตจักรแองลิกัน ลาดกระบัง/ ไคร้สตเชิช กรุงเทพ
วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2021
ปฐมกาล 1:1-2, 26-28; สดุดี 8:1-9
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Word Count 5,150; Time 42 minutes
พระเจ้าสถิตกับท่าน [และสถิตกับท่านด้วย]
พี่น้องที่รักครับ วันนี้เราเริ่มต้นคำเทศนา จาก ข้อแรกในพระคัมภีร์ Bible เลยนะครับ ปฐมกาล บทที่ 1 ข้อที่ 1 “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน”
คำๆแรกที่ผมอยากจะ highlight คือ คำว่า “ในปฐมกาล”
In the Beginning... หรือ Berashet ในภาษาเดิม ฮีบรู แปลเป็นภาษาไทยว่า ในปฐมกาล
คำๆนี้ พระคัมภีร์เปิดเผย กับเราว่า จักรภพ สรรพสิ่งทั้งปวงในจักรภพ รวมถึงแกเล็กซี่ ที่เราอยู่ ที่พระคัมภีร์เรียกว่า “ฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน” มีจุดเริ่มต้น โดยพระเจ้า เป็นพระผู้สร้าง เป็นผู้เนรมิต (บารา) สรรพสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น และดำรงอยู่ เพราะพระผู้สร้าง ที่เปิดเผยในพระคัมภีร์ปฐมกาล ภาษาไทย ใช้คำว่า เนรมิต มาจากฮีบรู “บารา” คำๆนี้ใช้กับพระเจ้าเท่านั้นครับ เพราะมนุษย์เวลาสร้างสิ่งใดๆ เราสร้างจากสิ่งที่มีอยู่ บวกพลังงาน บวกความคิดสร้างสรรค์ ให้กลายเป็นสิ่งใหม่ เช่น จะทำโต๊ะหนึ่งตัว เราก็ไปเอาไม้จากต้นไม้ แปรรูปออกมาเป็นไม้โดยใช้พลังงาน บวกการออกแบบ ความคิดสร้างสรรค์ จากต้นไม้ในป่า กลายเป็นโต๊ะไม้หนึ่งตัว นี้คือลักษณะการสร้างของมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้า ไม่ได้ใช้คำนี้ ใช้คำว่า เนรมิต บารา
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะฟิสิกส์ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบ ได้พิสูจน์ คำๆนี้ Beresheet ว่าเป็นจริง “ความจริง” ที่พระคัมภีร์ได้เปิดเผยมาแล้วหลายพันปีก่อนฟิสิกส์
คือ ทุกสิ่งล้วนมีจุดเริ่มต้น ซึ่งรวมถึง “เวลา” ด้วยครับ
เป็นสิ่งแรกที่ ความจริงที่เปิดเผยจากวิทยาศาสตร์ เห็น ตรงกันกับ ความจริงที่เปิดเผยจากพระเจ้าผ่านพระคัมภีร์ แต่ ทั้งสอง ยังไม่สามารถสรุปได้เกี่ยวกับ ความจริงที่เปิดเผยผ่านพระคัมภีร์ ว่า มีพระเจ้าเป็นผู้เนรมิตฟ้าและแผ่นดิน
เช้า / บ่าย นี้ผมอยากจะเปรียบเทียบสองสิ่ง คือ ความจริงที่วิทยาศาสตร์เปิดเผย กับ ความจริงที่พระเจ้าเปิดเผยผ่านพระคัมภีร์ วิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยังไปไม่ถึง พระเจ้า พระผู้สร้าง ผู้ทรงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ประการที่ 1 “วิทยาศาสตร์มีความจำกัด เพราะมนุษย์มีความจำกัด”
มนุษย์มีความจำกัด ถูกจำกัดอยู่ใน Space-time dimension มิติของเวลาและสถานที่ เรามีอายุที่จำกัด และสั้นมากๆ เมื่อเทียบกับความจริงที่เรากำลังค้นหา อย่างที่มีคนเคยบอกไว้ ค่าเฉลี่ยของคนหนึ่งคน มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แค่ เป็นตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ 27,000 วัน บางคนอาจจะน้อย หรือบางคนอาจจะยาวนานกว่านี้ ตัวเลข 27,000 วันเป็นค่าเฉลี่ย แค่ 27,000 วันเอง พี่น้อง สั้นมากๆ ผมหวังว่าเราจะใช้แต่ละวันอย่างคุ้มค่านะครับ สำหรับผู้เชื่อคือ รับใช้พระเจ้าครับ ทำตามน้ำพระทัยในชีวิตของเรา อาเมนนะครับ
เพราะมนุษย์มีความจำกัด ครับ จำกัดจริงๆ ความจริงในพระคัมภีร์ที่เปิดเผยในปฐมกาล 1 คือ เราเป็นเพียงสิ่งทรงสร้าง ของพระเจ้าพระผู้สร้าง เป็นไปไม่ได้เลย ที่มนุษย์จะเข้าใจทุกอย่างเหมือนพระเจ้าได้ เป็นไปไม่ได้เลย สิ่งที่มนุษย์ทำได้คือ ต่อยอดความรู้ไปเรื่อยๆ บนบ่าของคนรุ่นก่อน สะสมองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาความจริงมากขึ้นๆ นั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มนุษย์จะทำได้
ตอนนี้วิทยาศาสตร์ไปถึง แค่ ทฤษฎีบิ๊กแบง แต่อะไรทำให้เกิด บูม บิ๊กแบง อะไรทำให้เกิดกฎของฟิสิกส์ที่ควบคุมจักรภพ วิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ยังไม่มีคำตอบ เพราะมันเกินขอบเขตที่ความก้าวหน้าในปัจจุบันจะตอบได้ สตีเฟ่น ฮอว์กิง นักฟิสิกส์และนักจักรวาลวิทยาชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุดในศตวรรษนี้ บอกว่าแม้ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบ แต่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในอนาคตเชื่อว่าจะหาคำตอบนี้ได้ (ยิ้ม)
แต่สำหรับเราผู้เชื่อ เรามีคำตอบอยู่แล้วครับ พระคัมภีร์เปิดเผยใน ปฐมกาล 1:1 จั้วหัว ข่าวพาดหน้าหนึ่ง มาเลยครับ ว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน”
สดุดี 8 กษัตริย์ดาวิดได้เฉลยกับเราว่า แท้จริงแล้วพระผู้สร้างในปฐมกาล 1 คือ พระยาห์เวห์ พระเจ้าองค์สูงสุดผู้ทรงเปิดเผยพระนามของพระองค์และทำพันธสัญญากับมนุษย์ ในข้อที่ 1 กษัตริย์ดาวิด ได้สรรเสริญพระยาห์เวห์ พระผู้สร้างว่า “...พระนามของพระองค์สูงส่งยิ่งนักทั่วทั้งแผ่นดินโลก พระองค์ทรงตั้งพระสิริของพระองค์ไว้เหนือฟ้าสวรรค์”
บางคนอาจจะแย้งว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการ สอนเราว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการ หรือ มีบรรพบุรุษมาจากลิง ความจริงนี้น่าจะขัดแย้งกับพระคัมภีร์ ความจริงแล้ง ทฤษฎีวิวัฒนาการ ของชาร์ล ดาร์วิน ที่มีอายุมากกว่า 160 ปีในปัจจุบันก็ยังเป็นเพียงทฤษฎีนะครับ ยังไม่จัดว่าเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เราเรียกว่า “กฎ” เพราะไม่สามารถพิสูจน์ และทำซ้ำจนสรุปเป็นกฎได้ ยังคงเป็นเพียงทฤษฎี การคาดเดาอย่างโดยมีเหตุผล โดยอาจมีหลักฐานบางอย่างรองรับเท่านั้นเอง
ถ้าเราศึกษาอย่างละเอียดเราก็จะพบว่า มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ไม่ได้ยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการ ครับ ตัวอย่างเหตุผลเช่น ถ้ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง เราต้องเห็นซากฟอสซิลจำนวนมากมายเพียงพอของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างลิงกับมนุษย์ในปัจจุบัน เป็นต้น พี่น้องที่สนใจ ลองค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็จะพบข้อมูลเหล่านี้ ผมคงไม่มาพูดในที่นี้ครับ
สิ่งมีชีวิตเกิดมาได้อย่างไร สิ่งที่เรารับรู้ คือ สิ่งมีชีวิต ย่อมต้องเกิดมาจากสิ่งมีชีวิต แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์สายที่ไม่เชื่อ พระเจ้าพระผู้สร้าง บอกเราว่า สิ่งไม่มีชีวิตเหล่านี้ ซึ่งประกอบไปด้วย โมเลกุลของกรดอะมิโน โปรตีน ในสภาวะที่เหมาะสม และระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอ ย่อมทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตแบบง่ายระดับเซลได้
เขาอธิบายว่า เหมือนกับ เอานาฬิกามาหนึ่งเรือน เอามาถอด แกะออกมาเป็นอุปกรณ์ชิ้นส่วนเล็กๆ แล้วนำไว้ในกล่องสี่เหลี่ยมปิด จากนั้นเขย่าไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานพอ มากกว่า 500 ล้านปี อุปกรณ์ชิ้นส่วนเล็กๆเหล่านี้จะประกอบกลับมาเป็นนาฬิกาได้ เขาอธิบายแบบนี้ครับ คำอธิบายนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ เพราะไม่สามารถ พิสูจน์ และทำซ้ำได้ เป็นเพียงสมมติฐาน ทฤษฎี การคาดเดา หรือ สำหรับผม ก็คือ ความเชื่อ รูปแบบหนึ่งครับ ไม่แตกต่างจาก การที่ผู้เชื่อ เชื่อว่า มีพระเจ้า เป็นพระผู้สร้าง และหรือมีผู้ให้กำเนิด บิ๊กแบง
แม้ในปัจจุบันก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่เป็นผู้เชื่อ และยอมรับในทฤษฎี การออกแบบอย่างชาญฉลาด (Intelligence Design) ที่สนับสนุนแนวความคิดว่า มีพระผู้สร้าง อยู่เบื้องหลังสิ่งทรงสร้างทั้งหมด ผมคงไม่มีหน้าที่ในการถกเถียงตรงนี้ เพราะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์เค้าถกเถียงกัน ในแวดวงวิทยาศาสตร์ครับ อย่างที่ผมบอกนะครับ เป็นเพียงทฤษฎี ไม่ใช่ กฎ เพราะว่า หัวข้อที่ถกเถียงกัน มนุษย์ยังไม่สามารถพิสูจน์และทำซ้ำได้ ด้วยความรู้ที่จำกัดของมนุษย์มีอยู่ในปัจจุบัน
ประการที่ 1 “วิทยาศาสตร์มีความจำกัด เพราะมนุษย์มีความจำกัด”
ความจริงแล้ว วิทยาศาสตร์กับ พระเจ้าพระผู้สร้าง ความจริงที่เปิดเผยในพระคัมภีร์
ประการที่ 2 หากแต่กำลังเล่าถึงเรื่องราวเดียวกัน อธิบายเรื่องราวเดียวกัน ในคนละบริบท
ที่จริงพระคัมภีร์บันทึกว่า ความจริง นั้นล้วนมาจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความจริง พระเจ้าทรงเปิดเผย ความจริง ให้กับมนุษย์ มนุษย์ที่ยังคงค้นหาความจริง โดยเฉพาะความจริงในสิ่งทรงสร้างของพระองค์
มีคนเปรียบเทียบ ความจริงที่เปิดเผย โดย วิทยาศาสตร์ กับ ความจริงที่เปิดเผยโดยพระเจ้าผ่านทางพระคัมภีร์อย่างนี้ครับ เปรียบเทียบเหมือน ผม ทำขนมเค้ก ให้กับภรรยาที่รักของผมเนื่องในโอกาสในวันเกิดของเธอ ผมตั้งใจทำเค้กเอง
บริบทของวิทยาศาสตร์คือ การวิเคราะห์หาความจริง สิ่งที่พิสูจน์ ทำซ้ำและวัดค่าได้ สำหรับเค้กก้อนนี้ วิทยาศาสตร์จะช่วยผม วิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเค้กก้อนนี้ทางกายภาพ องค์ประกอบทางเคมี วิทยาศาสตร์จะบอกกับผมว่า เค้กก้อนนี้ มีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่น มีน้ำตาลกี่เปอร์เซ็นต์ สัดส่วนน้ำเท่าไหร่ แป้ง คาร์โบไฮเดรท ล้ำกว่านั้น วิทยาศาสตร์อาจจะคาดเดาได้ว่า เค้กนี้มีวิธีการสร้างอย่างไร ผ่านความร้อนที่อุณหภูมิเท่าไหร่ นานเท่าไหร่ มีขั้นตอนการทำอย่างไร กว่าจะได้เค้กนี้มา วิทยาศาสตร์สามารถนำส่วนประกอบทั้งหมดมา ผ่านกระบวนการทำซ้ำ เพื่อพิสูจน์สมมติฐานของสูตรและส่วนผสมการผลิต เพื่อให้ได้เค้ก ก้อนแบบเดียวกันนี้
แต่สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถทราบได้คือ เค้กก้อนนี้ ถูกสร้างมาเพื่ออะไร มีแต่เพียง ผมเองเท่านั้นที่ทำเค้กก้อนนี้ออกมา และสามารถบอกได้ว่า ผมทำเค้กนี้ด้วยความรัก เพื่อจะฉลองวันเกิดให้กับภรรยาคนที่ผมรัก
พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระผู้สร้างเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์ ต่อสิ่งทรงสร้างของพระองค์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเปิดเผยได้
วิทยาศาสตร์ เปิดเผยความจริงในการทรงสร้างของพระเจ้าว่า “อย่างไร”
พระเจ้าเปิดเผย ความจริงในการทรงสร้างของพระองค์ว่า ทำไม หรือที่เราเรียกว่า ความจริงทางด้านศาสนศาสตร์ หรือ เข้าใจพระเจ้า เข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าต่อสิ่งทรงสร้างของพระองค์นั้นเอง
พี่น้องครับ ผมชอบและรักวิทยาศาสตร์ ผมชอบวิชาฟิสิกส์ และ ยกย่องนักวิทยาศาสตร์ เพราะเขาเหล่านั้นทุ่มเท อุทิศตัวเพื่อค้นหาความจริง จากสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เพื่อที่จะเป็นพระพรให้กับเรา
มีคนๆหนึ่งที่ทำงานอย่างหนักเพื่อ ค้นหาความจริงว่า แขนของมนุษย์ทำงานอย่างไร กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็นเส้นไหนที่ทำให้เรายกแขนขวาขึ้นได้ หรือมีคนๆหนึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อ ค้นหาความจริงว่า หัวใจมนุษย์ทำงานอย่างไร หัวใจทั้งสี่ห้อง ลิ้นหัวใจทำงานร่วมกันอย่างไร อย่างละเอียด ลึกซึ้ง
พี่น้องสิ่งเหล่านี้ บางครั้งเราก็อาจจะมองข้ามไป และไม่เห็นคุณค่าการอุทิศทุ่มเทของคนเหล่านี้ เราอาจจะคิดด้วยความคิดตื้นเขินของเรา และสรุปง่ายๆว่า ก็พระเจ้าสร้างไง ไม่เห็นต้องไปสนใจเลย แต่วันหนึ่งครับ จะมีวันหนึ่งครับ พี่น้อง วันที่เราอาจจะยกแขนขวาเราไม่ขึ้น วันที่ หัวใจของเราเต้นผิดจังหวะ วันที่หัวใจของเรามีภาวะล้มเหลว วันที่มีเชื้อไวรัสโควิดระบาด อย่างที่เราคาดไม่ถึง วันนั้นแหละครับ เราจะกลับมาขอบคุณคนเหล่านี้ที่อุทิศตัวเพื่อค้นหาความจริงเหล่านี้ เพื่ออธิบายว่าทำไมเรายกแขนขวาไม่ขึ้น เพื่อรักษาและหาสาเหตุให้กับเรา เพื่อผ่าตัดรักษาหัวใจ หรือบางคนอาจจะเปลี่ยนหัวใจใหม่ให้กับเราได้ เรามีเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนที่ทันสมัย เพื่อรักษาชีวิตของเรา เพื่อที่เราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
พี่น้องครับ ดังนั้นสำหรับผู้เชื่อ เราไม่ปฎิเสธความก้าวหน้าทางด้าน วิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความจริง ไม่มีทางขัดแย้งกับ ความจริงที่เปิดเผยจากพระเจ้าในพระคัมภีร์ครับ ความจริงแล้ว ต่างมีส่วนเสริมและ เกื้อกลูกันด้วยซ้ำครับ
และวิทยาศาสตร์ที่มีความรับผิดชอบนั้นจะต้องอยู่ในกรอบของพระคัมภีร์ คือมีความจริงของพระเจ้ากำกับ เพื่อไม่ให้นำความก้าวหน้านั้นไปทำสิ่งชั่วร้ายได้ เพื่อให้มั่นใจว่า ความรู้ที่ค้นพบจะเป็นพระพรให้กับเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อการทำลายล้าง
สองประการนะครับ ความจริงที่วิทยาศาสตร์เปิดเผย กับ ความจริงที่พระเจ้าเปิดเผยผ่านพระคัมภีร์
ประการที่ หนึ่ง วิทยาศาสตร์มีความจำกัด เพราะมนุษย์จำกัด วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายทุกสิ่งได้ เพราะความคิดและตรรกะของมนุษย์จำกัด และมีเส้นแบ่งเบาๆ ระหว่าง เหตุผล ตรรกะ และ ความเชื่อ บางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ก็ก้าวล้ำเข้ามาในขอบเขตของความเชื่อ ในนามของวิทยาศาสตร์
ประการที่ 2
วิทยาศาสตร์กับ พระเจ้าพระผู้สร้าง ความจริงที่เปิดเผยในพระคัมภีร์
เป็นสองสิ่งที่กำลังเล่าถึงเรื่องราวเดียวกัน อธิบายเรื่องราวเดียวกัน ในคนละบริบท
วิทยาศาสตร์อธิบายว่าอย่างไร พระเจ้าเปิดเผยในพระคัมภีร์ว่า ทำไม เปิดเผยพระลักษณะพระเจ้า น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ เหมือนภาพเปรียบเทียบ นะครับ ว่าผมเฉลยว่า ผมทำเค้กมาเพื่ออะไรและให้กับใคร “เพื่อฉลองวันเกิดให้กับภรรยาที่ผมรัก”
พี่น้องครับ สิ่งหนึ่งที่ผิดพลาดของผู้เชื่อในศตวรรษนี้คือ อ่านพระคัมภีร์แบบคนละบริบท เราเอาเลนส์ของเราในศตวรรษนี้ แบบวิทยาศาสตร์มาอ่านพระคัมภีร์ โดยเฉพาะ ปฐมกาล การทรงสร้างของพระเจ้า เพื่อค้นหาว่า “อย่างไร” แล้วเราก็มาทะเลาะกับวิทยาศาสตร์ พี่น้องยังตามผมอยู่ใช่มั้ยครับ
พี่น้อง ถ้าพรุ่งนี้เราต้องสอบฟิสิกส์ หรือวิชาชีววิทยา เราไม่อ่านพระคัมภีร์ปฐมกาล แล้วเข้าไปตอบคำถามในห้องสอบนะครับ เราต้องทบทวนตำราชีววิทยา ฟิสิกส์ เพื่อเข้าไปทำข้อสอบในห้องสอบ เพื่อตอบคำถามว่า อย่างไร
กลับมาที่พระคัมภีร์ใน เช้า / บ่าย วันนี้นะครับ อย่างที่ผมปูพื้นฐานความจริงที่เปิดเผยจากวิทยาศาสตร์และ พระเจ้าผ่านทางพระคัมภีร์ เช้านี้ ผมไม่ได้มาอธิบายความจริงของพระเจ้าผ่านการทรงสร้างแบบวิทยาศาสตร์ ผมมาในฐานะอาจารย์ที่สอนพระคำ อธิบาย ศาสนศาสตร์ เพื่อเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น ในบริบท ความจริงพระเจ้า พระผู้สร้างที่ เปิดเผย ในพระคัมภีร์ ผ่านการทรงสร้างของพระองค์
ในปฐมกาล 1:2 “แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น”
ข้อที่ 2 พระคัมภีร์บรรยายถึง “ที่ร้างและว่างเปล่า” ภาษาฮีบรูให้ภาพ ของความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความสับสน และไร้ระเบียบความมืด ความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความไร้ระเบียบ
พระคัมภีร์บรรยายภาพของ “ความมืด” และอยู่เหนือน้ำ “น้ำ” ในบริบทของ อารยธรรมโบราณในเวลานั้น ให้ภาพของ น้ำทะเลที่ลึกมาก ความมืดจนมองไม่เห็นว่าลึกถึงที่ไหน ยากที่จะหยั่งถึง เป็นภาพของความกลัว ความไร้ระเบียบ คือ ภาพของความตาย
สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในอารยธรรมโบราณในเวลานั้น ความไร้ระเบียบ ความโกลาหล หรือ Chaos คือความตาย เพราะเขาต้องอาศัย วัฎจักรตามธรรมชาติที่เป็นระเบียบแบบแผน ที่มีขอบเขตชัดเจน เขาจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีเวลาพระอาทิตย์ตกที่แน่นอน มีช่วงฤดูฝน ฤดูแล้งที่แน่นอน เพื่อที่เขาจะวางแผนทำการเกษตรได้ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ มีน้ำที่อยู่ในขอบเขตพื้นที่ของเขาที่ชัดเจน ทำให้เขาสามารถบริหารจัดการน้ำได้ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่น้ำ มีความไม่แป็นระเบียบ ออกมาจากที่ๆมันจะอยู่เช่น น้ำท่วม พายุที่แปรปรวน ฝนแล้ง ไม่ตกตามฤดูกาล นั้นคือความตาย
ดังนั้น ในปฐมกาล พระวิญญาณของพระเจ้าที่ปกอยู่เหนือน้ำและความมืด แล้วทำให้เกิดแผ่นดินแห้ง วัฎจักรของความมืดและความสว่าง จึงเป็นภาพ ชัยชนะของพระเจ้า ที่อยู่เหนือความไร้ระเบียบ คือ ชีวิต
พระเจ้ามีชัยชนะเหนือความตาย เหนือความกลัว
การทรงสร้างของพระเจ้าคือ ทรงเนรมิตสิ่งที่ไม่เป็นระเบียบให้มีระเบียบ “ที่ร้างและว่างเปล่า”ให้เป็นฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” ตัวแทนของ ความเป็นระเบียบ บริบทที่เกิดชีวิต พื้นที่ ที่สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ที่ที่มีความสว่าง ดวงอาทิตย์ ต้นกำเนิด แหล่งพลังงาน เพื่อให้ทุกชีวิตอยู่ได้
ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า พระองค์ทรงเปลี่ยนความสับสนวุ่นวาย พลังของความไร้ระเบียบ ให้กลับกลายเป็นความงดงาม และโครงสร้างที่เป็นระเบียบ ปฐมกาล 1 บรรยายถึง พระเจ้าทรงเนรมิตกำหนดขอบเขตของแผ่นดินแห้งออกจากน้ำ ในข้อที่ 6 พระเจ้าตรัสว่า จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำแยกน้ำออกจากกัน และทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น ...” ทรงมีฤทธิ์อำนาจในการแยกน้ำออก ตัวแทนของความตาย ความโกลาหล ให้มีพื้นดินขึ้น เพื่อให้เหมาะกับสิ่งมีชีวิต จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ พระคัมภีร์บรรยายถึง พระเจ้าผู้ทรงเห็นคุณค่าของสิ่งมีชีวิต โดยพระคุณและฤทธานุภาพของพระองค์ ชีวิตก็เกิดขึ้น สามารถดำรงอยู่ได้ เป็นของขวัญจากพระเจ้า ขอบเขตที่มีระเบียบนี้ ทำให้ชีวิต ทุกชีวิตสามารถเจริญรุ่งเรือง ขยายเผ่าพันธุ์ออกไปจนเต็มแผ่นดินโลก เราเห็นน้ำพระทัยพระเจ้ามั้ยครับ และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
เราเห็นพระคัมภีร์ให้ภาพนี้ในหลายต่อหลายตอน อิสราเอลเดินข้ามทะเลแดง พระเจ้ามีฤทธานุภาพเหนือ น้ำทะเล ทรงแยกน้ำทะเลออก มีพื้นดินแห้งให้อิสราเอลเดินผ่าน ให้มีชีวิต ชัยชนะของพระเจ้าที่กำหนดขอบเขตของน้ำ น้ำที่เป็นตัวแทนของ ความโกลาหล ความไร้ระเบียบ เราคุ้นๆมั้ยครับ ใช่ครับ ภาพของปฐมกาล 1 อยู่ที่นี่
แม้กระทั่งใน พันธสัญญาใหม่ ภาพสัญลักษณ์นี้ก็ถูกส่งต่อมาในพันธสัญญาใหม่ เราเห็นภาพของ พระเยซูทรงห้ามลมพายุในทะเล พระเจ้าทรงมีชัยชนะเหนือความไร้ระเบียบ ความโกลาหล พระเจ้ามีชัยชนะเหนือความกลัว ความตาย พันธสัญญาใหม่กำลังจะบอกกับเรา ถ้าเราเป็นชาวยิวที่คุ้นเคยกับพันธสัญญาเดิม เราจะรู้ทันทีว่า พระเยซูคือพระเจ้า คือ พระยาห์เวห์ของพวกเขา ในปฐมกาล
เราเห็นภาพในวิวรณ์นะครับ ที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ไม่มีทะเล เพราะทะเล น้ำทะเล เป็นสัญลักษณ์ของความไร้ระเบียบ ความกลัว ความไม่รู้ เป็น สัญลักษณ์ของความตาย
พี่น้องที่รักครับ พระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงบอกกับเราที่เป็นผู้เชื่อ ที่เป็นประชากรของพระองค์ว่า ทรงมีชัยชนะเหนือความไร้ระเบียบ ความวิตกกังวล ความกลัว ทรงเป็นแหล่งแห่งชีวิต
วันนี้ เรามีความกลัว ความไร้ระเบียบ ความสับสนอะไรในชีวิตของเราครับ ในจิตใจของเรามั้ยครับ
สำหรับบางคน ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสับสน อาจหมายถึง เราได้รับข่าวร้ายจากคุณหมอว่า เราเป็นโรคร้ายที่อาจจะรักษาไม่หาย หรือโรคมะเร็งที่เราเคยรักษา อาจกำลังจะกลับมาใหม่
บางคน ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสับสน อาจหมายถึงปัญหาในชีวิตครอบครัว ชีวิตแต่งงานที่กำลังล่มสลาย เกิดความสับสน วุ่นวายในครอบครัว
บางคน ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสับสน อาจหมายถึง เรากำลังดูแลคุณพ่อคุณแม่ หรือสมาชิกในครอบครัวที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ติดเตียง อาจเป็น Dementia มีปัญหาทางพฤติกรรม
บางคนชีวิตที่เต็มไปด้วยความสับสน อาจหมายถึง กำลังตกงาน เงินเดือนไม่พอใช้ ลูกๆกำลังจะเปิดเทอม จะหาเงินที่ไหนมาให้ลูก
คนที่ตกงาน กำลังว้าวุ่นใจ สับสน ขาดสันติสุข สมัครงานไปแล้วหลายที่แต่ไม่มีที่ไหนตอบรับเลย
บางคนชีวิตที่สับสน อาจหมายถึง การที่เราสูญเสียคนที่เรารักในครอบครัว เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จากโควิด 19 จากกันโดยไม่ได้สั่งเสีย ร่ำลา
พี่น้องที่รักครับ ไม่ว่าวันนี้ ความสับสนในชีวิตของเราคืออะไรก็ตาม ใจที่กระวนกระวาย ขาดสันติสุข พายุคลื่นลมจะรุนแรงแค่ไหน ปฐมกาล 1 ในเช้าวันนี้ พระเจ้ากำลังบอกเรา ให้เราไว้วางใจพระเจ้า พระองค์นี้ครับ เพราะทรงเป็นกษัตริย์ ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือความไร้ระเบียบ เหนือ Chaos เหนือความสับสน เหนือความกลัว และมีชัยชนะเหนือความตาย เหนือเอกภพที่ยิ่งใหญ่ ผ่านการทรงสร้างนี้ พระองค์ผู้นี้ก็สามารถที่จะช่วยกู้พี่น้องจากความสับสนในชีวิตของเราด้วยเช่นกัน เพียงแต่ให้เราวางใจในพระองค์ อาเมนนะครับ
พระเจ้าพระองค์นี้ ทรงจัดเตรียม พืชผลการเกษตร ผลไม้ที่มีเมล็ดตามพันธุ์ของมัน เพื่อเลี้ยงดูมนุษย์สิ่งทรงสร้างที่ทรงรัก ปกป้องชีวิตของเรา นี้คือข้อความที่ ปฐมกาลต้องการจะสื่อถึง ผู้เชื่อ ครับ
พระเยซูคริสต์ทรงเข้าใจดีครับ ทรงสอนสาวกของพระองค์ในมัทธิว 6 อย่ากลัว กระวนกระวายใจ
“26จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้ ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ? 27มีใครในพวกท่านที่โดยความกระวนกระวาย สามารถต่ออายุของตนให้ยืนนานขึ้นอีกนิดหนึ่งได้ 28ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม? จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ในทุ่งนานั้นเติบโตขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย 29แต่เราบอกพวกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยศักดิ์ศรีก็ไม่ได้แต่งพระองค์งามเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง”
พี่น้องครับ เมื่อเรามองดูธรรมชาติ สิ่งทรงสร้างของพระองค์ ป่าไม้ แม่น้ำ วัฎจักรน้ำ พระเจ้าทรงดูแล ทรงใส่พระทัย พี่น้องที่รักครับ พระเจ้าทรงปลูกต้นไม้มากที่สุด มากกว่าเราปลูกต้นไม้รวมกันอีกครับ ป่าลึกใน Amazon ป่าดงดิบที่มนุษย์เข้าไปไม่ถึง บรรดาต้นไม้เหล่านี้ สัตว์ป่า นกในอากาศ สรรพสัตว์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงเลี้ยงดู พระเยซูสอนเราว่า แล้วเราล่ะ ไม่ประเสริฐกว่าสัตว์ต่างๆเหล่านี้หรือ
ประการที่หนึ่งครับ ความจริงในการทรงสร้างของพระเจ้าคือ ให้เราวางใจในการเลี้ยงดู การจัดเตรียมจากพระเจ้า พระเจ้า กษัตริย์ผุ้ทรงมีชัยชนะเหนือ ความไร้ระเบียบ ความสับสน ความกลัว ความตาย กษัตริย์ผู้ทรงจัดเตรียม ปกป้องชีวิต และเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ อาเมนนะครับ
ประการที่สอง ครับ พบในข้อ ที่ 26 -28 ครับ “วางใจในพระเจ้าผู้ทรงเห็นคุณค่าเรา เพราะทรงสร้างเราให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์”
“26แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในท้องฟ้าและฝูงสัตว์ใช้งาน ให้ปกครองแผ่นดินโลกทั้งหมด และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินทั้งหมด” 27พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
28พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในท้องฟ้า กับสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินทั้งหมด”
ข้อที่ 26, 28 บอกว่าว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ในการทรงสร้างของพระเจ้า ที่ มีพระฉายาของพระเจ้า และ พระเจ้าทรงตรัสกับเขาด้วย ที่พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์ด้วย โอ้ ขอบคุณพระเจ้า
มีพระฉายพระเจ้า เหมือนมีเงาฉายของพระเจ้าในชีวิตของเรา มิน่าล่ะ มนุษย์จึงมีความคิดสร้างสรรค์ มนุษย์จึงคิดค้นหาความจริงได้ มนุษย์จึงมีมิติทางด้านจิตวิญญาณ เรารู้ว่า เราถูกสร้างมาให้แตกต่างจากบรรดาสัตว์ทั้งหลาย พระฉายาพระเจ้า ถ้าพูดเป็นศัพท์สมัยใหม่ เราคือภาพ selfie ของพระเจ้า พี่น้อง
ข้อ 28 พระเจ้าตรัส กับมนุษย์ครับ พระเจ้าพูดกับมนุษย์ว่า “พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา และตรัสกับพวกเขาว่า ....” สิ่งมีชีวิตอื่น พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนแบบนี้นะครับ
มนุษย์พิเศษจริงๆครับ สุดยอดของการทรงสร้างของพระเจ้า
กษัตริย์ดาวิดในสดุดี 8 บรรยายไว้อย่างนี้ครับ ในข้อที่ 4-6
“4มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า ที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา?
และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่า ที่พระองค์ทรงห่วงใยเขา?
5พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระองค์ (ฉบับกรีก Septugint แปลว่า พวกทูตสวรรค์) แต่หน่อยเดียว
และทรงสวมศักดิ์ศรีกับความมีอำนาจให้เขา
6พระองค์ทรงให้เขาปกครองผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
พระองค์ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าเขา”
พี่น้องครับ พระคัมภีร์ ปฐมกาลเปิดเผย ชัดเจนครับ มีความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับ สัตว์ทั้งหลายครับ
ในข้ออื่นๆ เวลาพระเจ้าสร้างสัตว์ พระคัมภีร์บรรยายว่า พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ต่างๆตามชนิดของมัน
แต่พอมาถึง มนุษย์ ข้อ 26 “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา...” พระเจ้าย้ำสองครั้ง ครับ ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา และ ตามอย่างของเรา
พระคัมภีร์ย้ำชัดเจนครับ ว่า มนุษย์ จึงแตกต่างจาก ลิงครับ ลิงไม่มี พระฉายาของพระเจ้าครับ และในข้อที่ 28 พระเจ้าพูด มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ครับ ไม่ใช่ ลิง  เอเมนนะครับ
ดังนั้น ชีวิตมนุษย์ที่มีพระฉายของพระเจ้าจึงมีคุณค่ามากครับ ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าทรงรักและห่วงใย พี่น้องครับ พระคัมภีร์ตอนนี้ย้ำนะครับ ว่ามนุษย์ทุกคน มีพระฉายาของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา ถึงแม้ว่า เราจะล้มลงในความบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่เราก็ยังมี เค้าลาง ของ พระฉายของพระเจ้าในชีวิตของเราครับ
พี่น้องครับ วันนี้เราเห็นคุณค่าตัวเราเองแค่ไหนครับ เราเห็นคุณค่าชีวิตของเรา เหมือนอย่างที่พระเจ้าเห็น เหมือนอย่างที่พระเจ้ารักและห่วงใยเรามั้ยครับ พระเจ้าทรงสร้าง จักรภพทั้งหมด ที่ยิ่งใหญ่ อลังการ เพียงเพื่อให้เรา ดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อที่ให้เราดูแล ครอบครองด้วยความรัก เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงห่วงใย เห็นคุณค่าและรักเรา อาเมนมั้ยครับ
เราไม่ทำลายพระฉายของพระเจ้าในชีวิตของเรา ด้วยการเมาเหล้า ติดยาเสพติด ทำผิดศีลธรรมทางเพศ โดยใช้ร่างกายนี้ของเราที่เป็นพระฉายพระเจ้านะครับ เพราะเราประชด และไม่เห็นคุณค่าในชีวิตของเรานะครับ
พี่น้องที่รักครับ ผมอยากจะจบคำเทศนาของผม โดยใช้สดุดี 8 ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา ความจริงสดุดี 8 นอกจากกษัตริย์ดาวิดจะหมายถึง การทรงสร้างของพระเจ้าแล้วนะครับ สดุดี 8 ยังมีความหมายที่เล็งถึง พระเมสสิยาห์ด้วยนะครับ
พระเยซูคริสต์ พระเมสสิยาห์ทรงตรัสถึงสดุดี 8 ในข้อที่ 1 และข้อที่ 2 “พระองค์ทรงตั้งพระสิริของพระองค์ไว้เหนือฟ้าสวรรค์ 2โดยปากของเด็กอ่อนและทารก...”
เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่เยรูซาเล็ม อย่างผู้พิชิต ในมัทธิว 21:16
พระเยซูตรัสตอบว่า “ได้ยินแล้วพวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือว่า ‘พระองค์ทรงทำให้คำสรรเสริญออกมาจากปากเด็กและทารก ที่ยังไม่หย่านม’
ใน ฮีบรู 2:6-8เมื่อผู้เขียนได้พูดถึงพระเยซูคริสต์มารับสภาพมนุษย์ โดยอ้างอิงจาก สดุดี 8 “5พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระองค์ (ฉบับกรีก Septugint แปลว่า พวกทูตสวรรค์) แต่หน่อยเดียว และทรงสวมศักดิ์ศรีกับความมีอำนาจให้เขา”
พี่น้องครับ ประเด็นสำคัญคือ พระเจ้า องค์สูงสุด พระผุ้สร้าง ลดพระองค์เอง ลงมารับสภาพมนุษย์ สิ่งทรงสร้างของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ เพื่อที่ให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ มีชัยชนะเหนือความบาป ความสับสน ความไร้ระเบียบ ความตาย เพื่อที่เราจะมีชีวิต
มิน่าล่ะ กษัตริย์ดาวิด บอกไว้ในสดุดี 8 ครับว่า “4มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า ที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา? และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่า ที่พระองค์ทรงห่วงใยเขา?”
พี่น้องที่รักครับ ปฐมกาล 1 เปิดเผยความจริงของพระเจ้าผ่านการทรงสร้างของพระองค์อย่างน้อย สองประการครับ
ประการที่หนึ่งครับ ความจริงในการทรงสร้างของพระเจ้าคือ ให้เราวางใจในการเลี้ยงดู การจัดเตรียมจากพระเจ้า พระเจ้า กษัตริย์ผุ้ทรงมีชัยชนะเหนือ ความไร้ระเบียบ ความสับสน ความกลัว ความตาย กษัตริย์ผู้ทรงจัดเตรียม ปกป้องชีวิต และเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ อาเมนนะครับ
ประการที่สอง ครับ พบในข้อ ที่ 26 -28 ครับ “วางใจในพระเจ้าผู้ทรงเห็นคุณค่าเรา สร้างเราให้เหมือนพระฉายของพระองค์”
และสดุดี 8 เปิดเผยความจริงของพระเจ้า ด้วยเหตุผลสองประการนี้ พระเยซูจึงทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์เพื่อ พระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่ของเรา เพื่อที่มนุษย์ที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของพระเจ้า จะกลับมามีชีวิต รอดพ้นจากความพินาศ กลับใจจากความบาป และกลับมาคืนดี และมีความสัมพันธ์กับพระองค์ พระผูสร้าง อาเมนนะครับ
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน
ถ่อมใจในความจำกัดของเรา ยอมรับรู้ความจริงพระเจ้า ผ่านการสำแดงและเปิดเผยผ่านพระวจนะคำของพระองค์
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งทรงสร้าง เพื่อที่เรามีชีวิตอยู่ได้ สรรเสริญในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้านักรบ จอมกษัตริย์ที่ทรงมีชัยชนะเหนือความสับสน ความไร้ระเบียบ ชัยชนะเหนือความตาย ความบาป ที่พบแล้วในพระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์
อธิษฐานเผื่อสมาชิกที่จิตใจสับสน กระวนกระวาย ขอพระเจ้าผู้ทรงมีชัยชนะ นำมาซึ่งชัยชนะภายในจิตใจที่สับสน ขอพระองค์ท รงครอบครอง จิตใจด้วยสันติสุข
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรัก ห่วงใยที่ทรงมีต่อเรา มนุษย์ที่ไม่มีค่าใดๆเลย เมื่อเทียบกับพระองค์ แต่พระองค์ทรงห่วงใยและเห็นคุณค่าของเรา ให้เราเห็นคุณค่าตนเอง ไม่ด้อยค่าตนเอง และดำเนินชีวิตให้สมกับการเป็นลูกที่รักของพระเจ้า
ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
Related Media
See more
Related Sermons
See more